รัฐบาลจัด “ท่องเที่ยววิถีไทย” ถึงสิ้นปี – พัฒนา รพ.เอกชนรับศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ | ATTA

ACTIVITY OF MONTH














ATTA > Tourism News > รัฐบาลจัด “ท่องเที่ยววิถีไทย” ถึงสิ้นปี – พัฒนา รพ.เอกชนรับศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ

รัฐบาลจัด “ท่องเที่ยววิถีไทย” ถึงสิ้นปี – พัฒนา รพ.เอกชนรับศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ

รัฐบาลจัด “ท่องเที่ยววิถีไทย” ถึงสิ้นปี - พัฒนา รพ.เอกชนรับศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย รัฐบาลกำหนด “ท่องเที่ยววิถีไทย” เป็นวาระแห่งชาติไปจนถึงสิ้นปี จัดอบรมเยาวชนหวังช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว พร้อมจัดทำโครงการ “1155 ตำรวจท่องเที่ยวเต็มใจให้บริการ” ให้บริการ 5 ภาษา พร้อมเร่งผลักดันนโยบายศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ รับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พัฒนาโรงพยาบาลเอกชน 10 จังหวัด และ 5 เขตเศรษฐกิจพิเศษ แจงขึ้นภาษีบุหรี่อยากให้คนไทยใส่ใจสุขภาพ

วันนี้ (14 ก.พ.) พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลกำหนดให้ “ท่องเที่ยววิถีไทย” เป็นวาระแห่งชาติไปจนถึงสิ้นปี 2559 โดยมีเป้าหมายสำคัญประการหนึ่ง คือ การกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน และสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ด้วยการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนผ่าน “โครงการส่งเสริมการเป็นเจ้าบ้านที่ดี” ถ่ายทอดความรู้และทักษะด้านการจัดการการท่องเที่ยวแก่เด็กและเยาวชน

“โครงการดังกล่าวจัดขึ้นในทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดอบรมให้ความรู้แก่เยาวชนอายุ 12 ปีขึ้นไป เกี่ยวกับหลักเบื้องต้นของการท่องเที่ยว ทักษะการจัดการด้านการท่องเที่ยว การอนุรักษ์และฟื้นฟูวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยว และสิ่งแวดล้อมในชุมชน รวมทั้งการต้อนรับและการนำเที่ยวด้วยวัฒนธรรมอันดีงาม ซึ่งจากการประเมินผล พบว่า เด็กและเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการมีความกล้าแสดงออก มีความรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่มากขึ้น สามารถเผยแพร่ข้อมูลที่น่าสนใจ ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างชาติให้มาเที่ยว โดยต่อยอดกับการพัฒนาศักยภาพของมัคคุเทศก์น้อยในท้องถิ่น” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว

พล.ต.สรรเสริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในด้านความปลอดภัยและการบริการนักท่องเที่ยว รัฐบาลยังได้จัดโครงการ “1155 ตำรวจท่องเที่ยวเต็มใจให้บริการ” เพื่อให้ความช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัย และเพิ่มความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว โดยสามารถติดต่อขอรับบริการได้ที่สายด่วน 1155 ตลอด 24 ชั่วโมง ครอบคลุมการบริการ 5 ภาษา ได้แก่ จีน อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี และรัสเซีย

“นายกฯ ให้ความสำคัญกับการเป็นเจ้าบ้านที่ดีในการต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยได้กำชับให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาส่งเสริมและพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนในท้องถิ่น เพื่อให้สามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ รองรับการขยายตัวของการท่องเที่ยวในระดับภูมิภาค พร้อมทั้งขอให้คนไทยเผยแพร่เอกลักษณ์ความเป็นไทยให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชม ทั้งรอยยิ้ม ความมีน้ำใจ การไม่เอารัดเอาเปรียบ ผลักดันให้การท่องเที่ยวช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ 2.3 ล้านล้านบาท ในปี 59 ตามเป้าหมาย” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว

พล.ต.สรรเสริญ ยังเปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งผลักดันนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย และผู้ใช้บริการด้านสาธารณสุขจากต่างประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านระบบบริการสุขภาพรองรับประชาคมอาเซียนที่จะมีประชาชนทั้งจากในภูมิภาคและทั่วโลกเดินทางเข้ามายังประเทศไทย เพื่อใช้แรงงาน ท่องเที่ยว หรือประกอบธุรกิจต่าง ๆ มากขึ้นกว่าในช่วงที่ผ่านมา

“ประเทศไทยมีโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนที่ผ่านการรับรองคุณภาพระดับสากล โดยเฉพาะมาตรฐานเจซีไอ (Joint Commission International) 50 แห่ง มากที่สุดในอาเซียน และยังมีสปาไทย นวดไทย น้ำพุร้อน รวมทั้งผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่เป็นเอกลักษณ์ โดยสถิติในปี 2557 มีผู้ใช้บริการทางการแพทย์เดินทางเข้ามาถึง 1,200,000 ครั้ง มากเป็นอันดับ 1 ของโลก และโรงพยาบาลเอกชนของไทยยังได้รับการโหวตให้อยู่อันดับ 1 ใน 10 ของโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลกด้วย” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว

พล.ต.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ในปี 2559 รัฐบาลจะส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ 10 จังหวัด คือ กทม. ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี สุราษฎร์ธานี สงขลา กระบี่ พระนครศรีอยุธยา พังงา และประจวบคีรีขันธ์ และพื้นที่เขตเศรษฐพิเศษ 5 จังหวัด คือ ตาก มุกดาหาร สระแก้ว สงขลา และตราด รวมจำนวน 172 แห่ง ให้ได้รับการรับรองมาตรฐานเจซีไอ หรือมาตรฐานเอชเอ (Hospital Accreditation) มากขึ้น

“นายกฯ กำชับให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งบูรณาการส่งเสริมคุณภาพมาตรฐานของโรงพยาบาลและสถานบริการด้านสุขภาพของไทย เพื่อจูงใจให้นักท่องเที่ยวมาใช้บริการ สร้างรายได้เข้าประเทศ นอกจากนี้ นายกฯ ยังเป็นห่วงเรื่องสุขภาพอนามัยของคนไทยที่ยังมีสถิติการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่สูงอยู่ โดยมีผู้สูบบุหรี่จำนวนกว่า 10 ล้านคน เสียชีวิตปีละกว่า 50,000 ราย และมีจำนวนผู้ดื่มเหล้าสูงสุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก จึงอยากให้คนไทยหันหาใส่ใจสุขภาพ โดยมาตรการขึ้นภาษีบุหรี่ก็เป็นวิธีหนึ่งในหลายวิธีที่รัฐบาลต้องการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ให้น้อยลง” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว

ที่มา:ผู้จัดการ Online

Comments

comments